สร้างแบรนด์ดัง ปังได้ใน 7 ขั้นตอน
ธุรกิจ
31 March 2020
“ทำยังไงนะให้แบรนด์ติดตลาด”
“ทำยังไงนะ ให้คนจำแบรนด์ จำกล่อง จำสินค้าของเราได้”
“สร้างแบรนด์ดีๆ ออกแบบบรรจุภัณฑ์เลิศๆ นี่เริ่มกันยังไง?”
LocoPack เชื่อว่า คำถามเกี่ยวกับ “การสร้างแบรนด์”
เหล่านี้น่าจะเป็นคำถามที่ทำให้พ่อค้าแม่ขายเจ้าของธุรกิจทั้งหลายต้องกุมขมับกันมานักต่อนัก
ว่าแล้วเพื่อช่วยให้ทุกท่านสร้างแบรนด์ให้ดัง ปังได้
เราขอนำเสนอ 7 ขั้นตอน การสร้างแบรนด์เวอร์ชั่นเข้าใจง่าย ดังต่อไปนี้
“ทำยังไงนะ ให้คนจำแบรนด์ จำกล่อง จำสินค้าของเราได้”
“สร้างแบรนด์ดีๆ ออกแบบบรรจุภัณฑ์เลิศๆ นี่เริ่มกันยังไง?”
LocoPack เชื่อว่า คำถามเกี่ยวกับ “การสร้างแบรนด์”
เหล่านี้น่าจะเป็นคำถามที่ทำให้พ่อค้าแม่ขายเจ้าของธุรกิจทั้งหลายต้องกุมขมับกันมานักต่อนัก
ว่าแล้วเพื่อช่วยให้ทุกท่านสร้างแบรนด์ให้ดัง ปังได้
เราขอนำเสนอ 7 ขั้นตอน การสร้างแบรนด์เวอร์ชั่นเข้าใจง่าย ดังต่อไปนี้
1. ทำความเข้าใจตลาด
ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการใดๆเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ เลือกโลโก้
หรือผลิตกล่องกระดาษกันนั้น เราขอชวนคุณเริ่มต้นจากสเต็ปที่ 1
อย่างการพิจารณาทบทวน “ตลาด” ของสินค้ากันสักหน่อย
โดยศึกษาดูว่า “ใคร” คือกลุ่มลูกค้าหลัก และ “ใคร” คือคู่แข่งตัวฉกาจของสินค้า
ซึ่งคุณสามารถทำได้หลายวิธีนะครับ ทั้งผ่านการกูเกิ้ลข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคุณ เพื่อดูว่าใครบ้างที่เป็นคู่แข่งในตลาด
สืบหาข้อมูล ฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าจากกลุ่มลูกค้า สอบถามความเห็นของกลุ่มลูกค้า ว่านิยมเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ไหนอยู่ เช่น สินค้าของคุณคือเครื่องสำอาง ก็ลองสืบเสาะข้อมูลดูว่า กลุ่มลูกค้าหลักของคุณ นิยมซื้อเครื่องสำอางประเภทนี้ จากแบรนด์ไหนกันอยู นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผ่านตลาดออฟไลน์ นอกจากนี้ต้องไม่ลืมที่จะตรวจตราดูเพจหรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ ที่ขายสินค้าชนิดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับคุณ และอาจลองใช้วิธีสวมบทบาทลูกค้าเสียเองโดยลองชอปปิ้งดูด้วยตัวเองกันสักครั้งไปเลย
โดยศึกษาดูว่า “ใคร” คือกลุ่มลูกค้าหลัก และ “ใคร” คือคู่แข่งตัวฉกาจของสินค้า
ซึ่งคุณสามารถทำได้หลายวิธีนะครับ ทั้งผ่านการกูเกิ้ลข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคุณ เพื่อดูว่าใครบ้างที่เป็นคู่แข่งในตลาด
สืบหาข้อมูล ฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าจากกลุ่มลูกค้า สอบถามความเห็นของกลุ่มลูกค้า ว่านิยมเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ไหนอยู่ เช่น สินค้าของคุณคือเครื่องสำอาง ก็ลองสืบเสาะข้อมูลดูว่า กลุ่มลูกค้าหลักของคุณ นิยมซื้อเครื่องสำอางประเภทนี้ จากแบรนด์ไหนกันอยู นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผ่านตลาดออฟไลน์ นอกจากนี้ต้องไม่ลืมที่จะตรวจตราดูเพจหรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ ที่ขายสินค้าชนิดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับคุณ และอาจลองใช้วิธีสวมบทบาทลูกค้าเสียเองโดยลองชอปปิ้งดูด้วยตัวเองกันสักครั้งไปเลย
2. กำหนดหน้าตาและบุคลิกของแบรนด์
เพราะทุกๆแบรนด์ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ว่าแล้วขั้นตอนต่อมาของการสร้างแบรนด์ดัง
คือการสร้างจุดโฟกัสหรือลักษณะเฉพาะนั่นเองครับ อย่างการออกแบบกล่องกระดาษ
หรือบรรจุภัณฑ์ก็เช่นกัน
ที่ทั้งนักออกแบบและเจ้าของกิจการจะต้องมีหน้าตาและบุคลิกของแบรนด์กำหนดไว้แล้วในใจ
สำหรับขั้นตอนนี้ คุณสามารถทำได้ง่ายๆ
โดยลองตอบคำถามง่ายๆเหล่านี้กันก่อนเลย
“อะไรคือคำจำกัดความของสินค้า?”
ลองนึกดูสั้นๆ แต่งประโยคที่พูดถึงจุดเด่นของสินค้าคุณ เพื่อช่วยในการกำหนดหน้าตาและบุคลิกของแบรนด์ เช่น “เราขาย (สินค้า) สำหรับ (กลุ่มลูกค้า) เพื่อ (วัตถุประสงค์) ต่างกับ (คู่แข่ง) (ระบุข้อแตกต่าง)” ซึ่งเมื่อลองเติมข้อความดูจะได้ว่า “เราขายน้ำดื่มสำหรับนักกีฬา ที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน แตกต่างจากเจ้าอื่นด้วยแคมเปญ ที่บริษัทจะปลูกต้นไม้เพิ่ม1ต้น สำหรับยอดขายน้ำ 1ขวด”
“ใช้คำสั้นๆ เพื่ออธิบายสินค้า”
เพื่อช่วยคุณกำหนดภาพลักษณ์ของแบรนด์ ลองตัดสินใจเลือกคำสั้นๆ เพียงคำเดียวเพื่ออธิบายตัวตนของสินค้าคุณ โดยลองนึกว่าตัวตนแบบไหนกันนะ ที่ลูกค้าจะให้ความสนใจ อาทิ “หรูหรา” “สนุกสนาน” “อ่อนเยาว์” หรือแม้แต่ “เซ็กซี่” นอกจากนี้คุณอาจลองใช้วิธีเปรียบเปรยสินค้าของคุณเป็นสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อกำหนดบุคลิกของแบรนด์ หรือเผลอๆอาจใช้เป็นโลโก้ ยี่ห้อให้คุณได้เช่นกัน
“อะไรคือคำจำกัดความของสินค้า?”
ลองนึกดูสั้นๆ แต่งประโยคที่พูดถึงจุดเด่นของสินค้าคุณ เพื่อช่วยในการกำหนดหน้าตาและบุคลิกของแบรนด์ เช่น “เราขาย (สินค้า) สำหรับ (กลุ่มลูกค้า) เพื่อ (วัตถุประสงค์) ต่างกับ (คู่แข่ง) (ระบุข้อแตกต่าง)” ซึ่งเมื่อลองเติมข้อความดูจะได้ว่า “เราขายน้ำดื่มสำหรับนักกีฬา ที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน แตกต่างจากเจ้าอื่นด้วยแคมเปญ ที่บริษัทจะปลูกต้นไม้เพิ่ม1ต้น สำหรับยอดขายน้ำ 1ขวด”
“ใช้คำสั้นๆ เพื่ออธิบายสินค้า”
เพื่อช่วยคุณกำหนดภาพลักษณ์ของแบรนด์ ลองตัดสินใจเลือกคำสั้นๆ เพียงคำเดียวเพื่ออธิบายตัวตนของสินค้าคุณ โดยลองนึกว่าตัวตนแบบไหนกันนะ ที่ลูกค้าจะให้ความสนใจ อาทิ “หรูหรา” “สนุกสนาน” “อ่อนเยาว์” หรือแม้แต่ “เซ็กซี่” นอกจากนี้คุณอาจลองใช้วิธีเปรียบเปรยสินค้าของคุณเป็นสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อกำหนดบุคลิกของแบรนด์ หรือเผลอๆอาจใช้เป็นโลโก้ ยี่ห้อให้คุณได้เช่นกัน
3. เลือกชื่อทางธุรกิจ
การตัดสินใจเลือกชื่อทางธุรกิจย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะ
และแผนธุรกิจที่วางไว้ หากคุณวางแผนที่จะเพิ่มไลน์สินค้าหรือบริการ
การตั้งชื่อให้กว้างและครอบคลุมเข้าไว้
ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการตั้งชื่อแบรนด์ที่ตั้งเพื่อเจาะจงขายสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว
ซึ่งในปัจจุบันเราก็มีตัวช่วยหลายช่องทางนะครับสำหรับการตั้งชื่อแบรนด์
ไม่ว่าเว็ปไซต์สำหรับช่วยตั้งชื่อโดยเฉพาะ
หรืออาจลองเลือกใช้วิธีการเลือกชื่อผ่านขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ดู
-สุ่มเลือกชื่อแบรนด์ เช่น Pepsi
-ใช้ศัพท์ที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องแต่น่าสนใจ เช่น Apple สำหรับสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์
-ใช้คำเปรียบเปรย เช่น Buffer
-อธิบายแบบตรงตัว เช่น The Shoe Company
-สลับสับเปลี่ยนตัวอักษร หรือใช้ภาษาต่างประเทศเข้ามาผสม เช่น Tumblr (Tumbler) หรือ Activia
-ใช้ตัวอักษรย่อ เช่น HBO (ที่มาจาก Home Box Office)
-ใช้เทคนิครวมคำ เช่น Pinterest (จาก pin interest) หรือ Facebook (Face+Book)
-สุ่มเลือกชื่อแบรนด์ เช่น Pepsi
-ใช้ศัพท์ที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องแต่น่าสนใจ เช่น Apple สำหรับสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์
-ใช้คำเปรียบเปรย เช่น Buffer
-อธิบายแบบตรงตัว เช่น The Shoe Company
-สลับสับเปลี่ยนตัวอักษร หรือใช้ภาษาต่างประเทศเข้ามาผสม เช่น Tumblr (Tumbler) หรือ Activia
-ใช้ตัวอักษรย่อ เช่น HBO (ที่มาจาก Home Box Office)
-ใช้เทคนิครวมคำ เช่น Pinterest (จาก pin interest) หรือ Facebook (Face+Book)
4. เลือกสีและฟอนท์ตัวอักษร
การเลือกสี: นอกจากสีจะบ่งบอกลักษณะเฉพาะของแบรนด์ได้แล้ว
สียังทำหน้าที่สื่อสารกับผู้พบเห็นผ่านบรรจุภัณฑ์ และกล่องกระดาษใส่สินค้า
โดยสีจะเป็นตัวส่งต่ออารมณ์ ความรู้สึก เกี่ยวกับแบรนด์สู่บุคคลภายนอก
นอกจากนี้คุณควรเลือกสีที่แตกต่างจากแบรนด์คู่แข่ง
เพื่อไม่ให้ผู้พบเห็นจำสับสน และสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ กล่องกระดาษ
หรือบรรจุภัณฑ์อื่นๆของคุณ (ลองพิจารณาภาพข้างต้น
ที่เปรียบเทียบสีแต่ละสีสามารถบ่งบอกได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันไป)
การเลือกฟ้อนท์: สำหรับเทคนิคของการเลือกฟ้อนท์นั้น คือพยายามอย่าเลือกฟ้อนท์เกิน 2 ฟ้อนท์สำหรับใช้ในบรรจุภัณฑ์ หรือสำหรับเว็ปไซต์ของคุณเพราะจะดูน่าสับสนมึนงงจนเกินไป นอกจากนี้เครื่องมือออกแบบบนโลกออนไลน์อย่างโปรแกรม Font Pair สามารถช่วยคุณจับคู่ฟ้อนท์ได้อย่างน่าสนใจ
การเลือกฟ้อนท์: สำหรับเทคนิคของการเลือกฟ้อนท์นั้น คือพยายามอย่าเลือกฟ้อนท์เกิน 2 ฟ้อนท์สำหรับใช้ในบรรจุภัณฑ์ หรือสำหรับเว็ปไซต์ของคุณเพราะจะดูน่าสับสนมึนงงจนเกินไป นอกจากนี้เครื่องมือออกแบบบนโลกออนไลน์อย่างโปรแกรม Font Pair สามารถช่วยคุณจับคู่ฟ้อนท์ได้อย่างน่าสนใจ
5. ตั้งสโลแกน
แบรนด์ที่ดีควรมีสโลแกนที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดลูกค้า
โดยสโลแกนนั้นควรสั้นกระทัดรัด และได้ใจความเหมาะสมนะครับ
เพราะสโลแกนของสินค้าคุณ
ย่อมถูกใช้สำหรับการเขียนลงบนสื่อกลางการสื่อสารต่างๆ ทั้ง โฆษณา ฉลาก
บรรจุภัณฑ์ กล่องกระดาษ เว็บไซต์ หรือแม้แต่นามบัตรของผู้บริหาร
ทั้งนี้สโลแกนก็สามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ เพื่อก้าวทันเทรนด์ตลาดเช่นกัน
เพราะอย่างแบรนด์ดังระดับโลกแบบ Pepsi เองก็เปลี่ยนสโลแกนมาแล้วกว่า 30
ครั้งเลยทีเดียว
ทั้งนี้เทคนิคการตั้งสโลแกนที่น่าสนใจได้แก่ การบอกข้อดีของสินค้า เช่น “The World’s Strongest Coffee” (DeathWish Coffee) การเปรียบเทียบเปรียบเปรยสินค้า “Redbull gives you wings” ใช้คำคล้องจอง “The best part of wakin’ up in Folgers in yours cup.” เป็นต้น
ทั้งนี้เทคนิคการตั้งสโลแกนที่น่าสนใจได้แก่ การบอกข้อดีของสินค้า เช่น “The World’s Strongest Coffee” (DeathWish Coffee) การเปรียบเทียบเปรียบเปรยสินค้า “Redbull gives you wings” ใช้คำคล้องจอง “The best part of wakin’ up in Folgers in yours cup.” เป็นต้น
6. ออกแบบโลโก้
โลโก้ หรือเครื่องหมายการค้า นับเป็นสิ่งแรกๆ
ที่ผู้คนจะนึกถึงเมื่อนึกถึงการสร้างแบรนด์ ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกนะครับ
เพราะโลโก้จะกลายเป็นสัญลักษณ์หลักของกิจการคุณ
ซึ่งแน่นอนว่าคุณจะต้องสร้างโลโก้ที่มีเอกลักษณ์ สามารถบ่งบอกตัวจน
และที่สำคัญ ในขั้นตอนการออกแบบโลโก้ต้องอย่าลืมคำนึงว่า
โลโก้จะต้องสามารถใช้ได้กับการออกแบบสื่อโฆษณาทุกขนาด ทุกประเภท
ทั้งการปรากฎบนเพจเฟสบุค หรืออินสตราแกรม รวมไปถึงวางอยู่บนตัวบรรจุภัณฑ์
สินค้าของคุณเอง
โดยอาจเลือกใช้โลโก้มากกว่าหนึ่งแบบ เพื่อความเหมาะสมกับการใช้งานจริง อย่างโลโก้ของห้างสรรพสินค้า Walmart ที่ทางแบรนด์เลือกใช้โลโก้สัญลักษณ์สำหรับรูปโปรไฟล์บนเฟสบุค และโลโก้ที่เป็นตัวอักษร (wordmark) สำหรับธุรกิจอีกประเภทในเครือเดียวกัน และต้องอย่าลืมว่า โลโก้ของคุณควรที่จะสอดคล้องกับสีและฟ้อนท์ที่คุณเลือกไว้ตามหัวข้อก่อนหน้านี้
นอกจากนี้โลโก้ยังมีหลายประเภทให้คุณเลือกใช้ ทั้งแบบ Abstract อย่างโลโก้ของ Google Chrome ที่ตัวโลโก้ไม่ได้บ่งบอกความหมายโดยตรง โลโก้ที่ใช้ Mascot หรือการใช้ตัวการ์ตูน คาแรกเตอร์ประจำร้านเช่น Wendy’s โลโก้แบบ Emblem หรือผสมผสานระหว่างรูปภาพและตัวอักษรเช่น Starbucks โลโก้แบบ Lettermark ของ IBM หรืออาจเลือกใช้โลโก้ชนิด Icom แนวเดียวกับ Twitter
โดยอาจเลือกใช้โลโก้มากกว่าหนึ่งแบบ เพื่อความเหมาะสมกับการใช้งานจริง อย่างโลโก้ของห้างสรรพสินค้า Walmart ที่ทางแบรนด์เลือกใช้โลโก้สัญลักษณ์สำหรับรูปโปรไฟล์บนเฟสบุค และโลโก้ที่เป็นตัวอักษร (wordmark) สำหรับธุรกิจอีกประเภทในเครือเดียวกัน และต้องอย่าลืมว่า โลโก้ของคุณควรที่จะสอดคล้องกับสีและฟ้อนท์ที่คุณเลือกไว้ตามหัวข้อก่อนหน้านี้
นอกจากนี้โลโก้ยังมีหลายประเภทให้คุณเลือกใช้ ทั้งแบบ Abstract อย่างโลโก้ของ Google Chrome ที่ตัวโลโก้ไม่ได้บ่งบอกความหมายโดยตรง โลโก้ที่ใช้ Mascot หรือการใช้ตัวการ์ตูน คาแรกเตอร์ประจำร้านเช่น Wendy’s โลโก้แบบ Emblem หรือผสมผสานระหว่างรูปภาพและตัวอักษรเช่น Starbucks โลโก้แบบ Lettermark ของ IBM หรืออาจเลือกใช้โลโก้ชนิด Icom แนวเดียวกับ Twitter
7. พัฒนาแบรนด์สม่ำเสมอ
เมื่อแบรนด์คุณเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ได้ทั้งชื่อ ได้สี ฟ้อนท์
และโลโก้เรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าคุณจะขายสินค้าประเภทเครื่องสำอางหรือสินค้าประเภทใด
คุณก็ยังคงมีหน้าที่ตามสเต็ปที่ 7 นั่นก็คือการไม่หยุดหย่อนพัฒนาแบรนด์!
เพราะแบรนด์ที่ดัง ปังได้ ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน ความใส่ใจ
และมุ่งมั่นพัฒนาแบรนด์ ศึกษาตลาด ตามเทรนด์ให้ทันอยู่เสมอ
ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้า บริการ รวมถึงการตัดสินใจเลือกใช้
กล่องบรรจุภัณฑ์หน้าตาดี
หรือแพคเกจจิ้งสวยงามนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจยั่งยืนและงอกงาม
Credit: Shopify
สนใจแพคเกจกจิ้งแบบนี้บ้าง
เริ่มเลยบทความที่เกี่ยวข้อง
ธุรกิจ 12 May 2020
เชื่อว่าหลายๆคนที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการให้ได้สักครั้งในชีวิต
อยากจะสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง... เพื่อขายสินค้าที่ตนชื่นชอบและสนใจ
ยังวนเวียนอยู่กับความคิดที่ว่า “เป็นเจ้าแบรนด์เองนั้นทำยาก” “ไม่ทราบขั้นตอน” หรือ “ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี” จนไม่ได้เริ่มต้นจริงๆจังๆกันเสียที
เพื่อช่วยให้คุณได้ “เริ่มต้น” กันได้และไขข้อข้องใจเพื่อก้าวสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์
สินค้าในหมวดหมู่เครื่องสำอาง
LocoPack เราได้ทำการสืบค้นและรวบรวมมาให้คุณกันแล้วครับ
กับบทสรุป 10 ขั้นตอนง่าย สู่การเป็นเจ้าแบรนด์เครื่องสำอาง
1. วางแผนภาพรวมวางแผนกว้างๆกันก่อนครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกผิด เพราะสเต็ปแรกสุดนี้เป็นเพียงการวางแผนในภาพรวมที่สามารถปรับเปลี่ยนกันได้ในลำดับต่อไป ซึ่งในขั้นตอนนี้ขอให้คุณได้ลองคิด หรือจดโน๊ตย่อสั้นๆออกมากันก่อนว่าต้องการขายสินค้าชนิดไหน มีความโดดเด่นในด้านใด ต้องการขายสินค้าแก่ลูกค้ากลุ่มใด โดยอาจอิงเอาจากสินค้าที่ตนเองสนใจ ชื่นชอบ หรือมองว่ามีโอกาสเติบโต นอกจากนี้อย่าลืมวางแผนเรื่องต้นทุนไว้คร่าวๆ เพราะขั้นตอนต่อๆไป จะต้องนำเรื่องต้นทุนที่วางแผนไว้มาประกอบการพิจารณา 2. ศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ด้วยตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องเวลา เงินที่อาจเสียไปถ้าสินค้าที่คิดไว้ไม่เวิร์ค ไม่เป็นที่ต้องการ คุณก็ควรที่จะทำการศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ดูกันก่อน ก่อนที่จะลุยต่อในสเต็ปต่อไป ซึ่งขั้นตอนนี้ก็ง่ายๆครับ ลองเข้าไปสัมผัสกับกลุ่มสินค้า และตลาดลูกค้าของโปรดักส์ที่คุณประสงค์จะขาย เช่น ต้องการขายลิปสติกให้กับกลุ่มนักศึกษา หรือสาวๆวัยทำงาน ก็ลองส่องดูกันหน่อยไม๊ แต่ล่ะแบรนด์ที่จัดจำหน่ายลิปสติกเขากำหนดราคาไว้อย่างไร มีข้อดีข้อเสีย หรือใช้ช่องทางใดเป็นช่องทางในการจัดจำหน่าย หรือหากอยากขายครีม ผลิตภัณฑ์สกินแคร์เพื่อการบำรุงผิว การศึกษาตลาด ดู “เทรนด์” กันก่อน ช่วงนี้วัตถุดิบ หรือสารประกอบตัวใดที่กำลังเป็นที่นิยม3. รีเสริชข้อมูล หาผู้ผลิต ถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้อยากสร้างแบรนด์ของตนเอง เพราะในปัจจุบันที่โรงงาน ผู้ผลิตเครื่องสำอาง และสกินแคร์มากมายหลายแห่ง แต่ละแห่งมีบริการที่แตกต่างกันไป บ้างรับผลิต คิดค้นสูตร บ้างมีแพคเกจเพื่อการผลิต ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงทำมาร์เกตติ้งให้เสร็จสรรพ อย่างไรก็ตามก่อนจะเลือกโรงงานใดโรงงานหนึ่งเพื่อผลิตสินค้าให้กับคุณ LocoPack ก็ต้องแนะนำกันก่อนว่า ให้คุณศึกษาข้อมูล ตรวจดูรีวิว ความคิดเห็นของลูกค้าเก่าๆ ของแต่ละโรงงานกันก่อนให้ครบถ้วน เพื่อมองหาผู้ให้บริการที่เหมาะสมตรงใจ4. เลือกโรงงานที่วางใจ นอกจากพิจารณาจากประสบการณ์ รีวิว ความคิดเห็นของลูกค้าเก่าๆของแต่ละโรงงานแล้วนั้น ในการตัดสินใจเลือกผู้ผลิต คุณต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึง ราคา ความปลอดภัย และมาตรฐาน โดยควรที่จะเลือกเฉพาะโรงงานที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตการจัดตั้ง ผ่านมาตรฐาน ISO เพื่อมั่นใจได้ว่าผู้ผลิตที่คุณเลือกใช้บริการ นั้นสามารถไว้ใจ และผลิตสินค้าคุณภาพให้คุณได้ได้ นอกจากนี้คุณอาจติดต่อกับโรงงานผู้ผลิตเพื่อสอบถามข้อมูล และราคา โดยคำถามที่คุณควรสอบถามก็ได้แก่ ขอบเขตการให้บริการ ขั้นตอนของออร์เดอร์การผลิต ราคาต่อหน่วย ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการให้บริการเสริมอื่นๆ เช่น การขึ้นทะเบียนอ.ย. ไปจนถึงวิธีการจัดส่งสินค้า 5. เลือก “สูตร” ผลิตภัณฑ์ มาถึงขั้นตอนสำคัญ เพื่อสร้างโปรดักส์ปัง เมื่อทำการเลือก “โรงงาน” กันได้แล้ว คุณก็ต้องทำการติดต่อ หรือเดินทางไปยังโรงงานเพื่อเลือก “สูตร” ที่เหมาะสม โดยโรงงานผู้ผลิตส่วนใหญ่มักมีสูตรมาตรฐานไว้อยู่แล้ว สำหรับเครื่องสำอางและสกินแคร์ประเภทต่างๆ ซึ่งหากสูตรเหล่านั้นตรงใจ ก็สามารถสั่งผลิตได้เลยทันที แต่หากคุณต้องการสูตรของผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง หรือโดดเด่นกว่าสูตรมาตรฐานที่มีอยู่ ก็สามารถคุยกับผู้ผลิต เพื่อพัฒนาสูตรกันได้นะครับ6. เทสต์ๆ ก่อนตัดสินใจ แม้ผู้ผลิตและโรงงานส่วนใหญ่มักมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรอยู่แล้ว แต่เพื่อให้สินค้าของคุณเป็นไปตามเป้าหมาย และความต้องการที่วางไว้ ก่อนการตัดสินใจเลือกสูตร ต้องมีการทดสอบ เทสต์ตัวผลิตภัณฑ์ก่อนเสมอ 7. วางแผนมาร์เก็ตติ้งเมื่อได้สูตรโดนใจ ก็ได้เวลาสำหรับขั้นตอนสำคัญต่อมา นั่นก็คือเรื่องของการวางแผนมาร์เก็ตติ้ง! ซึ่งควรจัดการให้เสร็จกันแต่เนิ่นๆ เพราะการตั้งชื่อแบรนด์ โลโก้ บรรจุภัณฑ์ รวมไปถึงจำนวนของสินค้าที่จะสั่งผลิตในแต่ละล็อต ก็ล้วนขึ้นอยู่กับการวางแผนมาร์เก็ตติ้งทั้งสิ้น8. คิดชื่อ ตั้งโลโก้ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ ออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ ควรอิงกับผลิตภัณฑ์และแผนมาร์เก็ตติ้งที่วางไว้ โดยให้เน้นพิจารณาถึงกลุ่มลูกค้า เอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างชื่อแบรนด์ ออกแบบโลโก้และบรรจุภัณฑ์ให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้หากใครไม่มีประสบการณ์ สเต็ปนี้ LocoPack ขอแนะนำว่าคุณสามารถหาที่ปรึกษาด้านการตลาด นักออกแบบผลิตภัณฑ์กันได้นะครับเพราะผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ จะเข้าใจภาพรวมในการทำการตลาด เล็งเห็นถึงทิศทางการทำยอดขาย สร้างความโดดเด่นให้กับโปรดักส์และพร้อมจะให้คำแนะนำ ในประเด็นที่คุณเองอาจนึกไม่ถึงก็เป็นได้ 9. สั่งผลิตสินค้า และบรรจุภัณฑ์เมื่อสูตรพร้อม ดีไซน์พร้อม ก็ได้เวลาทำฝันให้เป็นจริง ทั้งนี้โรงงานหลายแห่งพร้อมบริการการผลิตแบบครบวงจร คือบริการทั้งผลิตสินค้าและผลิตแพคเกจจิ้งให้เสร็จสรรพ แต่หากว่าดีไซน์แพคเกจจิ้งของโรงงานไม่โดนใจ หรือคุณมองหาไอเดียแปลกใหม่เพื่อสร้างความโดดเด่น การเลือกใช้บริการจากผู้ออกแบบและผลิตแพคเกจจิ้งจากแหล่งอื่นๆ ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น และแตกต่าง10. เน้นพัฒนาแบรนด์ อัพยอดขายอยู่เสมอเพราะโลกของการตลาดไม่เคยหยุดอยู่กับที่ เมื่อสินค้าพร้อม แผนการตลาดพร้อม คุณเองก็หยุดไม่ได้เช่นเดียวกัน การพัฒนาแบรนด์ หาช่องทางการทำการตลาด เพิ่มกลุ่มลูกค้า คือหน้าที่สำคัญที่ CEO หน้าใหม่จะลืมไปไม่ได้ ดังนั้นจงศึกษาเทรนด์ใหม่ๆอยู่เสมอ พัฒนาสูตร พัฒนาสินค้า ไปจนถึงหมั่นติดตามช่องทางการทำการตลาด ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนโลโก้หรือบรรจุภัณฑ์ให้ต้องตาโดนใจของลูกค้าแต่ละช่วงสมัย ให้สินค้าของแบรนด์คุณดูดี เป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอCredit: Ladyissue.com
ธุรกิจแพกเกจจิ้งออกแบบ 11 May 2020
การแข่งขันของธุรกิจ SME หรือเจ้าของแบรนด์รายย่อยในปัจจุบันนั้นมีอัตราความเข้มข้นสูงมาก นั่นก็เพราะสื่อโซเชียลที่เข้าถึงง่ายและครอบคลุม ทำให้คนที่อยากเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าสักชิ้นเลือกตัวแทนผู้ผลิตและสร้างหน้าร้านออนไลน์ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แล้วทำอย่างไรเราจะสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์จนโดดเด่น รวมถึงสร้างมูลค่าของสินค้าของเราให้แตกต่างจากพ่อค้าแม่ค้าคนอื่นๆ ได้??? หนึ่งในคำตอบสำคัญก็คือการสร้างความประทับใจแรกด้วยแพคเกจจิ้งสวยๆ จากการเลือกใช้บริการรับผลิตกล่องนั่นเองครับ
ทำไมการทำกล่องแบรนด์ของตัวเองจึงเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจของเราได้ การเลือกใช้บริการรับผลิตกล่องมีข้อดีอย่างไร? ทำไมเจ้าของแบรนด์ถึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องกล่องบรรจุสินค้า? บทความของเราวันนี้จะพาทุกท่านไปค้นหาคำตอบพร้อมๆกัน กับ 3 สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อแบรนด์ของคุณเลือกใช้บริการรับผลิตกล่อง
1. แพคเกจกิ้งสวยงาม แปลกตา ไม่ซ้ำใครการออกแบบกล่องนั้น จะเริ่มต้นด้วยการคิดย้อนกลับถึงสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะสื่อไปถึงลูกค้าเสมอ เช่น ณ ขณะที่ลูกค้าเห็นสินค้าเราครั้งแรก อยากให้ลูกค้ารู้สึกอย่างไร? มองว่าตัวตนของแบรนด์เราเป็นอย่างไร? จากนั้นจึงนำไปต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และทำการดีไซน์กล่องกระดาษที่สวยงาม แปลกใหม่ รวมถึงเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของลูกค้าให้มากที่สุด กล่องกระดาษที่ผ่านการออกแบบโดยผู้รับผลิตกล่องมืออาชีพจึงมีความสวยงาม แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์ของแบรนด์และสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน สร้างความแตกต่างและโดดเด่นให้กับสินค้าตั้งแต่แรกเห็น หรือที่เราเรียกกันว่าการสร้างความประทับใจแรก (First impression) ให้กับกลุ่มลูกค้า ไม่เหมือนการใช้งานกล่องสำเร็จรูปทั่วไป2. ช่วยสร้างภาพลักษณ์และทำให้คนจดจำเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีกว่าเพราะการผลิตกล่องกระดาษแบบ Custom design หรือการสร้างดีไซน์ขึ้นมาเอง ทำให้เราสามารถใส่สีประจำแบรนด์ ชื่อแบรนด์ โลโก้ ฟอนต์ รวมถึงคำพูดที่เราต้องการสื่อสารกับลูกค้าลงไปบนแพ็คเกจได้อย่างอิสระ การออกแบบกล่องกระดาษโดยใช้อัตลักษณ์ของแบรนด์เหล่านี้ เป็นการสร้างภาพลักษณ์หรือคาแรกเตอร์ที่ทำให้คนที่พบเห็นจดจำแบรนด์ของเราได้ทันที หรือหากกลุ่มลูกค้าไม่เคยซื้อผลิตภัณฑ์ของเรามาก่อน เมื่อได้เห็นแพคเกจกิ้งที่ถูกออกแบบด้วยเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ชัดเจน ก็จะทำให้พวกเขารู้สึกติดตาและจดจำชื่อแบรนด์ของเราได้ดีกว่าแพคเกจกิ้งกล่องกระดาษธรรมดาทั่วไป จนมีโอกาสที่กลุ่มคนเหล่านั้นจะกลับมาเป็นลูกค้าและเลือกซื้อสินค้าของเราในอนาคต3. กล่องกระดาษดีไซน์เก๋ ช่วยเพิ่มยอดขายสั้นๆ ง่ายๆ แต่เป็นเรื่องเรื่องจริงที่สุด ลองยกตัวอย่างดูว่าหากคุณเจอโฆษณาบนหน้าเฟสบุ๊คของร้านค้า 2 ร้านที่ขายสินค้าชนิดเดียวกัน แต่ร้านหนึ่งเป็นแพคเกจจิ้งธรรมดา ไม่มีความแปลกใหม่หรือสะดุดตา เราอาจเลื่อนหน้าไทม์ไลน์ผ่านไปเฉยๆ แต่เมื่อมาเจออีกร้านที่ดีไซน์กล่องกระดาษได้เก๋และแปลกใหม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวดึงดูดให้เกิดความสนใจ และเพียงแค่เวลาไม่กี่วินาทีที่เราเลื่อนมาดูกล่องกระดาษสวยๆ นั้น ก็ทำให้เราได้อ่านข้อมูลสินค้าไปแล้วเรียบร้อย โอกาสในการขายสินค้าก็เพิ่มขึ้น ทำให้คนรู้จักแบรนด์ของเรามากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดการแชร์โพสท์ของเราต่ออีกด้วย
และนี่เองครับเป็น 3 สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนเมื่อเราเลือกใช้บริการรับผลิตกล่อง เพราะปัจจุบันการใช้แพคเกจจิ้งแบบธรรมดานั้นไม่สามารถเพิ่มความได้เปรียบในการทำธุรกิจได้ เจ้าของแบรนด์จึงควรหันมาให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน รวมถึงการออกแบบและผลิตกล่องกระดาษ ที่เราจะนำมาใช้เป็นแพคเกจจิ้งของสินค้าด้วย เพราะแพคเกจจิ้งที่สวยงามคือความประทับใจแรกที่ลูกค้ามีต่อเรา ดังนั้นหากต้องการกล่องแพคเกจจิ้งที่สวย แปลกใหม่แบบมืออาชีพ การใช้บริการรับผลิตกล่องก็เป็นทางเลือกที่คุณไม่ควรมองข้ามครับ
Credit: designedbyjaclyn.com, pack168.com, Danilov Anton,
ธุรกิจแพกเกจจิ้ง 11 May 2020
16 ทริคสุดยอดการส่งพัสดุแบบมือโปร สำหรับพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์!! หากคุณเป็นพ่อค้า แม่ค้า มนุษย์ออฟฟิศ ที่ทำธุรกิจออนไลน์ และมีความจำเป็นจะต้องส่งของผ่านทางไปรษณีย์อยู่บ่อยๆ ไม่ว่าสิ่งของที่อยู่ด้านในนั้นจะเป็นวัสดุแบบไหน หากอ่านคู่มือทั้งหมดนี้ไว้ก็อุ่นใจแน่นอน เพราะเราได้รวบรวมเคล็ดลับทั้งหมด 16 ข้อ ที่ได้กวาดเอาเทคนิคในการส่งพัสดุทั้งหมดรวมมาไว้ให้ในบทความนี้บทความเดียวเท่านั้น จากที่ใครหลายๆคนอาจจะกังวลใจไป ส่งพัสดุไปแล้วจะต้องให้คุกกี้ทำนายกันมั้ย..ว่าของที่ส่งไปผู้รับจะได้รับถึงมือในสภาพปลอดภัย 100% แน่นอน มาถึงตรงนี้แล้วก็ขอให้ทุกคนปักหมุดไว้..แล้วแชร์วนไป คราวหน้าจะส่งพัสดุรับรอง ผู้รับจะต้องร้องโอ้โห Professional ที่แท้ทรู! 1. บับเบิ้ลดีต่อใจ ใช้รองกระแทกวนไปอุปกรณ์พื้นฐานยอดนิยมที่ผู้ที่คลุกคลีกับวงการส่งไปรษณีย์ต้องรู้! เพราะ “แผ่นรองกระแทก” หรือ “บับเบิ้ล” ไอเท็มขวัญใจเด็กๆ ที่ชอบเอาไว้บีบเล่นนั้น ไม่ได้มีดีแค่เป็นของเล่นอย่างเดียว แต่คุณสมบัติหลักๆของบับเบิ้ลนั้นจะช่วยดูดซับแรงกระแทกเมื่อสิ่งของทั้งหลายในกล่องเกิดการเขย่า หรือการกระแทกไปมา ทำให้คุณอุ่นใจไปอีกสเต็ปว่าของที่อยู่ภายในกล่องนั้นมีเกราะป้องกันความเสี่ยงที่ของด้านในจะเสียหายให้แล้ว เพราะฉะนั้น ก่อนจะส่งพัสดุที่มีความเสี่ยงว่าหากถูกกระแทก หรือถูกโยนแล้วจะเสียหาย ให้ #ห่อบับเบิ้ลวนไป ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ บับเบิ้ลมีน้ำหนักเบา ถึงแม้จะห่อซัก 2-3 รอบ น้ำหนักก็ไม่ได้เพิ่มอะไรมาก ค่าส่งไปรษณีย์ก็ไม่ได้พุ่งพรวดอะไรไปมากด้วยเช่นกันครับ2. เลือกขนาดให้ถูกไซส์..อุ่นใจกว่าการเลือกขนาดกล่องให้ถูกไซส์กับตัวพัสดุนั้น นอกจากจะทำให้การห่อพัสดุนั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และว่องไว ยังเป็นการลดความเสียหายของพัสดุด้านในอีกวิธีนึงอีกด้วย ทริคง่ายๆหากไปแพคของที่ไปรษณีย์หรือจะเป็นขนส่งเอกชน ให้ลองเทียบไซส์จากของที่เรามีกับกล่องที่มีให้เราเลือก หากไม่แน่ใจ แนะนำว่าลองวางพัสดุแล้วห่อหุ้มดูว่าเหลือที่ว่างเยอะมั้ย หากที่ว่างยังเหลือมากขนาดที่เราลองเขย่าแล้วยังมี Space อีกเพียบ แนะนำให้เปลี่ยนขนาดกล่องให้ไว เพราะว่ายิ่งมี Space เพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงที่สิ่งของนั้นจะกระแทกไปมาก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย อีกวิธีคือการใช้บริการรับผลิตกล่อง ให้ขนาดของกล่องไปรษณีย์พอดีกับขนาดพัสดุของเรา วิธีนี้นอกจะจะช่วยลดขนาดที่ว่างภายในกล่องที่ไม่จำเป็นแล้ว อาจจะช่วยประหยัดค่าส่งสินค้าได้ด้วยเนื่องจากบริษัทขนส่งเอกชนหลายๆที่ คิดค่าจัดส่งตามขนาดกล่อง กว้าง + ยาว + สูง นั่นเองครับ3. มาตรฐานของกล่องเป็นอย่างไร..ไปเช็คกัน!สายหวั่นไหวกับของถูก อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไป หากจะส่งของไปให้ใครก็ตามยิ่งเป็นในระยะทางไกลมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานของกล่องมากขึ้นเท่านั้น นั่นเป็นเพราะการเลือกกล่องพัสดุ ยิ่งมีราคามากขึ้นเท่าไหร่ กล่องก็จะยิ่งมีมาตรฐานดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น เรื่องมาตรฐานของกล่องจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป อย่าเลือกแค่มีเกณฑ์การตัดสินที่ว่า “ของมันถูก” คุณภาพที่คุณได้ก็จะถูกตามไปด้วย แต่ความเสียหายที่ได้มา อาจจะต้องเสียเงินเพิ่มแบบไม่คุ้มค่าด้วย หากอยากได้กล่องดีมีมาตรฐาน อย่าลืมมองหา Supplier รับผลิตกล่องที่มีมาตรฐาน ไว้ใจได้กันด้วยนะครับ4. เลือกกล่องใหม่ไฉไลกว่ารียูสเข้าใจว่าเรื่องของการรักษ์โลกมันต้องมา แต่หากคุณเป็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์มืออาชีพแล้ว เราแนะนำให้ใช้กล่องใหม่จะไฉไลกว่า คุณจะได้เครดิต ภาพลักษณ์ที่ดีว่าสั่งของจากร้านนี้ใช้กล่องใหม่ได้คุณภาพนะ นอกจากนี้ที่สำคัญคือ 70% นั้น คือ ตัวเลขของการรองรับการกระแทกหากใช้พัสดุใหม่ที่ไร้รอยแตก รอยพับ เพราะฉะนั้น หากมีโอกาสเลือก ให้เลือกกล่องใหม่เพื่อความคุ้มค่า พัสดุถึงทันใจไม่ต้องมานั่งกังวลกับค่าเสียหายภายหลังนะครับ5. หากใช้กล่องรียูสก็ต้องให้โฟมช่วย หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กล่องรียูสส่งพัสดุ โดยเฉพาะในเคสที่สิ่งของในกล่องมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ แนะนำให้ใช้โฟมนำมารองไว้ที่มุมต่างๆ ของกล่องพัสดุ เพราะจะเป็นการรองรับการกระแทกได้เป็นอย่างดี ทำให้พัสดุที่ส่งไปมีความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง 6. เลือกประเภทกล่องลูกฟูกที่เหมาะสมเพราะการเลือกประเภทกล่องลูกฟูกที่เหมาะสมนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆที่จะต้องคำนึงถึง เนื่องจากกล่องพัสดุแต่ละกล่องนั้นใช้กระดาษที่ไม่เหมือนกัน ความหนา จำนวนชั้นก็ต่างกัน เช่นเดียวกันกับคุณสมบัติการกันกระแทก หรือความอยู่ทน อยู่นานที่ถูกออกแบบมาอย่างแตกต่างกัน เช่น การบรรจุสิ่งของที่มีน้ำหนักมากและขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้กล่องที่มีความหนา 5 ชั้นแทน เป็นต้น หากคุณไม่แน่ใจ เราแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือจะปรึกษาเราดูก่อนก็ได้ครับว่าสินค้า น้ำหนักและขนาดเท่านี้ ควรจะใช้กล่องประเภทไหน ถึงจะบรรจุสินค้าได้อย่างเหมาะสมที่สุดครับ7. แพ็คให้เหมาะกับสภาพฝนฟ้าอากาศบางคนอาจจะงงว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่จะบอกว่า สภาพอากาศเป็นอีกปัจจัยสำคัญถ้าคิดจะส่งพัสดุ ลองคิดภาพตามดูง่ายๆว่า ต่อให้แพ็คของอย่างแน่นหนามากแค่ไหน แต่ดันต้องส่งของในช่วงหน้าฝน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ เราจะสามารถทำให้พัสดุด้านในนั้นปลอดภัยได้อย่างไรบ้าง หากพัสดุเปียกน้ำแล้วจะเสียหายมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเคสที่พัสดุข้างในเป็นกระดาษ หรือวัสดุที่เปียกชื้นแล้วจะสร้างความเสียหายมาให้ แนะนำให้ใส่พลาสติกกันไว้อีกชั้น..จะได้อุ่นใจมากขึ้นกับการส่งพัสดุฝ่าหน้าฝนไปได้ชิลๆครับ8. จัดการทิศทางและพื้นที่ให้ดี“การจัดการที่ดี” ใครว่าไม่สำคัญ เพราะการจัดการนั้นเอามาใช้ได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการส่งพัสดุ ในกรณีที่มีการส่งพัสดุมากกว่า 1 ชิ้นขึ้นไปในกล่องเดียว ควรจะจัดวางเผื่อการกระแทก การชนกันของวัตถุด้วย ลองนึกดูจากกรณีง่ายๆว่าถ้าวางของไปผิดทิศทาง สิ่งของที่อยู่ในนั้นก็อาจจะทิ่มทะลุกัน หรือกระแทกกันจนแตกทำให้ความเสียหายเพิ่มคูณ 2 ได้ หรือหากต้องส่งพัสดุที่มีน้ำหนักมากหลายชิ้น ก็ควรวางกระจายน้ำหนักให้ดี ไม่ให้จุดใดจุดหนึ่งของกล่องต้องรับน้ำหนักมากเกินไป และควรใส่ของที่มีน้ำหนักเยอะไว้ด้านล่างของที่มีน้ำหนักเบา เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งของด้านในทับกันเสียหายด้วยนะครับ9. บางครั้งอาจจะพึ่งผู้เชี่ยวชาญบ้างหากจำเป็นต้องส่งพัสดุที่สำคัญ แต่ประสบการณ์ส่งของดัน..มีไม่มากพอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียหายของพัสดุ เราควรจะต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นพนักงานของทางไปรษณีย์ หรือบริษัทที่รับส่งพัสดุโดยตรงเลยก็ได้ ดังนั้น อย่าลืมว่าหากเป็นครั้งแรกๆของคุณtoและไม่อยากพลาด แนะนำว่าให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า เพื่อให้มั่นใจได้ว่า พัสดุที่จะส่งไปนี้ไม่ได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน 10. ติดป้าย FRAGILE ก็ปลอดภัยไปอีกระดับหากจะต้องส่งพัสดุที่มีความเสี่ยงที่โยน กระแทกแล้วจะทำให้พัสดุเสียหาย หรือแตกกระจายได้ แนะนำให้ติดป้าย FRAGILE ที่ทางไปรษณีย์หรือบริษัทเอกชนมักจะมีให้ในบางที่ ตรงนี้ก็จะเพิ่มเลเวลความระมัดระวังของผู้ส่งของให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเห็นสติกเกอร์ที่บอกเป็นนัยๆว่าของแตกหักง่ายนะ ห้ามโยนโดยเด็ดขาด หรือหากไม่มีจริงๆก็อาจจะเขียนข้อความตัวใหญ่ๆ ด้วยภาษาไพเราะๆ ให้ง่ายต่อการมองเห็น พนักงานที่ส่งพัสดุเห็นก็จะได้ไม่โยน ไม่กระแทกกล่องไปรษณีย์ของเรา แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าต่อให้ติดสติ๊กเกอร์หรือเขียนอะไรไว้ก็แล้วแต่ บางครั้งก็อาจจะไม่ได้รับความสนใจจากพนังงาน เราจึงต้องใช้เทคนิคอื่นๆประกอบด้วย เพื่อให้พัสดุเราปลอดภัยจนถึงมือผู้รับนะครับ11. ตรวจสอบความแน่นหนาด้วยการเขย่ากล่องอีกวิธีง่ายๆที่ใช้ในการตรวจสอบความแน่นหนาของพัสดุ จะได้รู้ว่าเราแพ็คดีพอหรือยัง แน่นหนาพอที่จะรองรับการกระแทกได้หรือยัง ในกรณีนี้หากตรวจสอบความแน่นหนาด้วยการเขย่ากล่องแล้ว ของด้านในยังเลื่อนไปมาได้อยู่ แนะนำให้เปลี่ยนไซส์กล่องกระดาษ หรือจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือโฟมกันกระแทกยัดไว้ในช่องว่างที่มีในตัวกล่อง เพื่อเพิ่มเลเวลความมั่นใจในการส่งไปอีกระดับนะครับ12. อุปกรณ์แหลมคมมีโฟมกันไว้ได้ใจผู้รับหากมีความจำเป็นที่จะต้องส่งอุปกรณ์แหลมคม เช่น กรรไกร มีด กรรไกรตัดกิ่ง จอบ เสียม ที่มีคม แนะนำให้ใส่โฟมกันกระแทกไว้ที่ตรงปลายแหลมคมเป็นลำดับแรก ต่อจากนั้นอาจจะหุ้มต่อด้วยบับเบิ้ล กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือจะเป็นพลาสติกกันกระแทกในรูปแบบต่างๆให้เรียบร้อย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับพัสดุไปอีกระดับ เพราะอุปกรณ์แหลมคมไม่เข้าใครออกใคร หากจะต้องเคลื่อนย้าย หรือถูกกระแทกนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะไปทิ่มแทงกล่องให้ขาดได้ง่ายๆด้วยนะครับ13. ห่อถุงพลาสติกอีกชั้นสำหรับส่งของเหลวหากต้องส่งสินค้าที่เป็นของเหลว เช่น น้ำหอม ครีม เจลต่างๆ ที่บรรจุภัณฑ์มาในรูปแบบขวด และเสี่ยงต่อการโดนกระแทกและแตกหากเกิดการโยน ควรจะใช้เทปติดตรงฝาหรือจุกไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฝาหรือจุกหลุดออกมาระหว่างขนส่ง ห่อด้วยบับเบิ้ล แล้วใส่ถุงพลาสติกที่มีซิปล็อคทับแยกชิ้นไปเลย เพื่อความปลอดภัย เพราะหากเกิดการแตกระหว่างขนส่ง พัสดุที่ห่อแยกชิ้นจะทำให้การแตกกระจายของของเหลวนั้น ยังรั่วซึมอยู่ในถุงพลาสติกที่ห่อหุ้ม จะได้ไม่ปนกันกับของเหลวชนิดอื่นๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มความเสียหายให้ทวียิ่งขึ้นไปได้14. ติดเทปกาวบนกล่องรูปตัว Hเทคนิคนี้จะใช้สำหรับกล่องฝาชน วิธีการคือ ให้แปะเทปกาวขั้นแรกตรงช่องกลางระหว่างกล่อง ที่ฝาสองด้านมาบรรจบกัน ขั้นตอนต่อไปก็คือ ให้ใช้เทปกาวแปะตรงขอบกล่องพัสดุทั้งสองด้านโดยแปะยาวลงมา เท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้น เราก็ได้ให้ความมั่นคง แน่นหนาแก่พัสดุไปอีกระดับ แต่เทปกาวขอให้ใช้เป็นเทปกาวที่หนา และใหญ่ สามารถครอบคลุมพื้นที่ของพัสดุให้ยึดติดกันได้ด้วยนะครับ15. ซื้อประกันลดความเสี่ยงหากจะต้องส่งพัสดุที่เสี่ยงต่อการแตกหัก เสียหาย นอกจากวิธีการที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว เรายังสามารถลดความเสี่ยงค่าเสียหายได้ด้วยการซื้อวงเงินการรับประกันเพิ่มเติม เช่น การส่งทาง EMS สามารถซื้อประกันเพิ่มเติมได้สูงสุดถึง 50,000 บาท ซึ่งผู้ที่เป็นตัวกลางส่งของให้ มักจะมีเงื่อนไขในการรับผิดชอบความเสียหายของพัสดุและการซื้อประกันเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทจะกำหนด ให้ลองศึกษาเงื่อนไขและข้อตกลงดูดีๆก่อนซื้อประกันนะครับ16. ใส่เบอร์โทรทั้งสองฝ่ายไว้ ประสานงานได้ไวขึ้นไม่ว่าคุณจะส่งพัสดุกับไปรษณีย์ หรือกับบริษัทเอกชน สิ่งเล็กน้อยที่คุณไม่ควรจะมองข้ามไปนั่นก็คือ การใส่เบอร์โทรศัพท์ของผู้รับ และผู้ส่ง ที่ปัจจุบันมักจะมีช่องให้กรอกเบอร์โทรศัพท์อยู่แล้ว หากมีเบอร์สำรองก็ใส่ไปด้วยก็ดีครับ อย่าลืมตรวจเช็คให้ดีว่าต้องเป็นเบอร์ที่สามารถติดต่อได้นะครับ หากมีเหตุขัดข้องอะไร หรือคนส่งพัสดุที่ไปถึงที่แล้ว จะได้สามารถติดต่อผู้รับได้ทันใจ ตรงนี้ก็จะทำให้การส่งพัสดุมีความราบรื่นมากขึ้นนะครับ ทั้ง 16 ข้อนี้ถือเป็นคัมภีร์ฉบับขั้นสุดยอด หากทำตามข้อปฏิบัติพวกนี้ได้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยง ทำให้สินค้าที่ส่งผ่านทางไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชนนั้นจะไปถึงมือผู้รับได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น หากคุณกำลังมองหาผู้รับผลิตกล่องไปรษณีย์ที่มีมาตรฐาน หรือต้องการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์บนกล่องไปรษณีย์ อย่าลืมลองมาปรึกษา LocoPack ดูก่อนนะครับCredit: YouTube/thailandpostchannel, brandbuffet.in.th